จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | ไม่จำกัด ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | ละครไทยพื้นบ้าน |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
มหาภารตะสงครามยุทธ DVD [จบบริบูรณ์] ฉบับแปลงใหม่คุณภาพดี ฟรี! Boxset สวยมั่กๆ [ บรรจุใส่กล่องนอกสีใสอย่างดี] พร้อมปกสีทั้งด้านนอกและด้านใน สกรีนที่แผ่นอย่างสวยงามแต่ละแผ่นลายไม่ซ้ำกันสวยมาก ๆค่ะ
รายละเอียด: พากไทย 4 Dvd <จาก VCD Master 27 แผ่นจบ > ภาพชัดแจ๋วค่ะนำแสดงโดย สิราช มุสตาฟา ข่าน มานิศ คันนา ราช เปรมีอภิมหาสงครามมหากาพย์อันศักดิ์สิทธิ์ มหากาพย์ภารตะ เป็นหนึ่งในคำภีร์มหากาพย์อันศักดิ์สิทธิ์ของอารยะธรรมฮินดู ถือกำเนิดมาจากคำบอกเล่าของมหาฤาษีวยาส โดยมีพระพิคเณศ ทรงจดบันทึกเรื่องราว เป็นสงครามระหว่างพี่น้องตระกูลใหญ่ซึ่งมีบรรพบุรุษเดียวกัน ภาพเขียนการรบในมหาภารตะ จากต้นฉบับภาษาสันสกฤต รูปอรชุนทรงราชรถออกศึก มีพระกฤษณะเป็นนายสารถี (ศิลปะอินเดีย สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18 - 19) มหาภารตะ (สันสกฤต: महाभारत) บางครั้งเรียกสั้น ๆ ว่า ภารตะ เป็นหนึ่งในสองของมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของอินเดีย (มหากาพย์อีกเรื่องคือ รามายณะ)[1] ประพันธ์เป็นโศลกภาษาสันสกฤต มหากาพย์เรื่องนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ "อิติหาส" (แปลตามศัพท์ว่า "ประวัติศาสตร์") และเป็นส่วนหนึ่งทึ่สำคัญยิ่งของเทพปกรณัมในศาสนาฮินดู ตามตำนานกล่าวว่าผู้แต่งมหากาพย์เรื่องนี้คือ ฤๅษีกฤษณะ ไทวปายนะ วยาส นับเป็นมหากาพย์ที่ยาวที่สุดในโลก[ต้องการอ้างอิง] มีเนื้อหาซับซ้อน เล่าเรื่องอันยืดยาวที่เกี่ยวข้องกับเทพปกรณัม และหลักปรัชญาของอินเดีย ทั้งนี้ยังมีเรื่องย่อย ๆ แทรกอยู่มากมาย ซี่งหลายเรื่องก็เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในเมืองไทย เช่น ภควัทคีตา ศกุนตลา สาวิตรี พระนล กฤษณาสอนน้อง อนิรุทธ์ เป็นต้น ทั้งนี้ ยังถือว่าเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญของศาสนาฮินดูด้วย นอกจากนี้ มหาภารตะนี้ยังสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิต ศาสนา การเมือง ศิลปะหลายแขนง ประวัติความเป็นมาของวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ในเรื่อง และธรรมเนียมประเพณีการรบการสงครามของอินเดียยุคโบราณด้วย มหาภารตะเป็นเรื่องราวความขัดแย้งของพี่น้องสองตระกูล ระหว่างตระกูลเการพและตระกูลปาณฑพ ซึ่งทั้งสองตระกูลต่างก็สืบเชื้อสายมาจากท้าวภรตแห่งกรุงหัสตินาปุระมาด้วยกัน จนบานปลายไปสู่มหาสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตร ซึ่งมีพันธมิตรของแต่ละฝ่ายเข้าร่วมรบด้วยเป็นจำนวนมาก กล่าวกันว่านี่คือการต่อสู้ระหว่างธรรมะและฝ่ายอธรรม ความดีและความชั่ว ซึ่งในที่สุดแล้ว ฝ่ายปาณฑพก็เป็นผู้ชนะในสงครามครั้งนี้ หนังสือเล่มที่ 5-10 เล่าถึงสงคราม18วัน ระหว่างฝ่ายปาณฑพกับฝ่ายเการพ ฝ่ายเการพมีทหารสิบเอ็ดเหล่าทัพ ประจันหน้ากับฝ่ายปาณฑพเจ็ดเหล่าทัพ มหากาพย์บรรยายถึงกองทัพของทั้งสองฝ่าย โถมประทะเข้าบดขยี้กันว่า เสมือนหนึ่ง มหาสมุทรสองมหาสมุทรประทะกัน แต่เพียงชั่วระยะสั้นๆ กลับบรรยายว่าเป็น ทัศนียภาพอันงดงามยิ่ง กุณตีบอกวยาสะผู้เล่าเรื่องมหากาพย์ว่า พระองค์ ทรงเห็นความงดงามในความตายของมวลมนุษย์ บทกวีของพระองค์แต้มแต่งด้วยโลหิต และเสียงร่ำให้ของคนกำลังตายคือ คีตสังคีต ของพระองค์ ฝูงแร้งรุมทึ้งเนื้อเน่า ส่งเสียงร้องปรีเปรม เป็นลางร้ายปรากฏขึ้นก่อนยุทธนาการจะเริ่มขึ้น กรรณะพยากรณ์ว่า ฝ่ายตนจะปราชัย สงครามไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น แต่ เป็นการสังเวยคมอาวุธที่ยิ่งใหญ่ โดยมีกฤษณะเป็นเสมือนหนึ่ง นักบวชชั้นสูง รับการบูชายัญ ทั้งสองฝ่ายตกลงอดทนรอกฏเกณฑ์ที่ชัดเจนของสงคราม กล่าวคือ ไม่ใช้อาวุธสวรรค์รบกับมนุษย์ ไม่รบเมื่อตะวันตกดิน ไม่โจมตีใครก็ตามที่ถอยหนี ไร้อาวุธ หงายหลัง หรือล้มลง แต่ในที่สุดกลับละเมิดกฎทุกข้อที่ได้ตั้งไว้ ภควัทคีตา บทเพลงแห่งพระผู้เป็นเจ้า ไม่นานนักก่อนการประจัญบานเริ่มขึ้น อรชุนเกิดความลังเลไม่แน่ใจเมื่อเห็นคณาญาติและครูซึ่งตอนนี้กลายเป็นศัตรู ตามคำสาปแช่ง อรชุนสลดใจเกินกว่าจักข่มใจเข้าสู้รบได้ การ เข่นฆ่าญาติตนเองจะดีไปได้อย่างไร ชัยชำนะจักมีค่าอะไร ถ้าเพื่อนและบุคคลที่รักของเราทั้งหมดถูกฆ่าเราจักพ่ายแพ้ต่อบาปหากว่าเรา สังหารโหดฝ่ายรุกราน ภาระที่สมบูรณ์ของเราแน่นอนว่าต้องอภัยให้พวกเขาแม้กระทั่งว่า ถ้าพวกเขามืดบอดต่อธรรมะอันเนื่องมาจากความละโมบในทำนองเดียวกันเราเองไม่ ควรลืมธรรมะเสีย กฤษณะ สารถีรถม้าศึกของอรชุน จึงยกโอวาทแก่อรชุนขณะหยุดอยู่ในแดนกันชนระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่าย เนื้อความตอนนี้คือภควัทคีตาที่ทุกคนรู้จักกันดี เป็นเครื่องนำทางสู่การกระทำที่เด็ดเดี่ยวและเฉียบขาด ตรงจุดนี้ไม่เหมือนวีรบุรุษในมหากาพย์ทั้งหลาย อรชุนคิดก่อนลงมือกระทำ อรชุนลังเลก่อนลงมือเข่นฆ่า เพราะต้องการถอนตัวออกจากการมีชีวิตอยู่และหน้าที่ความรับผิดชอบ (เป็นความตรึงเครียดระหว่างธรรมะและโมกษะ ความหลุดพ้น) แต่กฤษณะตรัสแก่อรชุนว่า ในฐานะนักรบ การสู้รบคือธรรมะของอรชุน ความขัดแย้งที่แท้จริงทุกวันนี้เกิดจากอัตตาที่มีอยู่ใน สมรภูมิแห่งจิตวิญญาณอย่า กังวลกับความตาย ซึ่งเป็นเพียงก้าวเดียวเล็กๆ สู่วัฏจักรที่ไร้จุดจบและยิ่งใหญ่แห่งชีวิต มนุษย์ทั้งไม่ฆ่าและไม่ถูกฆ่า เพียงแต่จิตวิญญาณละร่างเดิมและเข้าร่างใหม่เท่านั้นเอง เฉกเช่นบุคคลหนึ่งเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ความตายเป็นเพียงภาพมายา นักรบจักปฏิบัติหน้าที่ของตนเยี่ยงไรโดยไม่กระทำผิด ร่างกายแปดเปื้อนด้วยโลหิตศัตรู ความลับคือต้องแยกให้ออก กล่าวคือ กระทำหน้าที่ของพระองค์โดยไม่ต้องกังวลกับผลลัพท์ส่วนบุคคล "ชัยชำนะและความพ่ายแพ้ ความปีติยินดีและความปวดร้าว ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเฉกเช่นเดียวกัน ลงมือเถิด แต่อย่าสะท้อนให้เห็นถึงผลของการลงมือกระทำนั้น จงละความปรารถณาเสีย จงแสวงหาทางแยกแยะ" เราต้องกระทำสิ่งที่ถูกต้อง โดยไม่ปรารถนาความสำเร็จ หรือกลัวความพ่ายแพ้ จงลงมือกระทำโดยไม่ปรารถนาผลลัพธ์และโดยไม่เอาตัวเองไปพัวพันกับบ่วงกรรม กฤษณะ ตรัสแก่อรชุนว่า การกระทำความดีจักไม่ทำให้ใครขึ้นสวรรค์ไปได้ ถ้าหากว่าความปรารถนาสวรรค์นั้นเป็นแรงจูงใจเพียงประการเดียวให้กระทำความดี ความปรารถนาทำให้มีการเกิดใหม่ หากยังมีความปรารถนาใดคงอยู่เมื่อเราตายไปแล้ว เราก็จักกลับไปสู่ชีวิตในอีกชาติภพหนึ่ง ยิ่งกว่านั้น ยุธิษฐิระตรัสแก่เทราปทีระหว่างการเนรเทศว่า พระองค์ปฏิบัติธรรมะโดยไม่หวังรางวัล หากแต่เพราะว่าเป็นสิ่งที่คนดีต้องกระทำ หลังยุทธนาการยุธิษฐิระมีช่วงวิกฤตที่คล้ายคลึงกันนี้ เมื่อท้าวเธอปฏิเสธการปกครองบ้านเมืองเสียชั่วคราว ด้วยความรู้สึกสิ้นหวังถึงการเข่นฆ่าอย่างโหดร้ายที่ทรงเป็นต้นเหตุ การกระทำเกิดขึ้นจาก การบัญชาโดยตรงของเทพสูงสุดหรือตัวแทน เราเรียกว่า อกรรมะ การกระทำเยี่ยงนี้ไม่ก่อให้เกิดการสนองตอบทั้งดีและไม่ดีตามมา เช่นเดียวกับทหารอาจลงมือสังหารเพราะคำสั่งบังคับบัญชาจากเบื้องบนและไม่ ต้องรับผิดชอบต่อการอาชญากรรม แต่ถ้าทหารนายนั้นสังหารเพื่อนร่วมรบ เขาจักต้องรับโทษตามกฎหมาย ทำนองเดียวกัน บุคคลที่รู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับกฤษณะ ล้วนกระทำไปตามบัญชาแห่งพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เพื่อจุดมุ่งหมายของตนเอง บุคคลเยี่ยงนั้นจักมี ความปีติยินดีในปรารถนาราคะก็หามิได้ หากแต่พึงพอใจอยู่ในตัวเอง ความทุกข์ใดก็รบกวนเขาไม่ได้ ไม่แม้กระทั่งความสุขทางวัตถุใดๆ ก็ตาม เขาปราศจากซึ่งการแยกแยะความกลัวและความโกรธ และมักดำรงตนอยู่ห่างไกลจากการครองคู่ทั่วไปในโลกีย์วิสัย จิตใจของเขาแนบแน่นอยู่กับเทพเจ้าสูงสุด ปกติธรรมดาเขาจึงสงบ หนทางไปสู่เสรีภาพมีอยู่สองสายนั่นคือการหลุดพ้น (โมกษะ) และกระทำหน้าที่ของตนโดยไม่ปรารถนาสิ่งใด เพราะว่าไม่มีใครสามารถสละการกระทำทุกอย่างในชีวิตเสียได้ ดังนั้นการทำงานโดยไม่ยึดติดเป็นอารมณ์จึงดีกว่า นักปราชญ์บางท่านคิดว่าการประพันธ์ภควัทคีตานี้ เป็นไปเพื่อประชันกับความท้าทายทางศานาจากเชนและพุทธ ซึ่งอุบัติขึ้นในศตวรรษที่หกก่อนคริสศตวรรษ ศาสนาทั้งสองนี้สอนให้หลุดพ้นบาปด้วยการสละโลกีย์ โดยการบำเพ็ญตนอย่างเคร่งครัดในศาสนาเชนและการอุทิศชีวิตเป็นพระในศาสนาพุทธ กฤษณะยกอรรถกถาว่า ความรู้ที่ท้าวเธอยกมาสอนนั้นมีมาแต่โบราณกาล เคยตรัสไว้หลายล้านปีล่วงมาแล้ว อรชุนตรัสถามว่า หม่อมฉันจักยอมรับได้อย่างไร เท่าที่เห็นพระองค์ประสูติมาในโลกนี้เมื่อไม่นานมานี้เท่านั้น กฤษณะ อธิบายว่า การกำเนิดก็เป็นภาพมายาเช่นกัน เนื่องจากมนุษย์เกิดนับครั้งไม่ถ้วน แต่ในกรณีของกฤษณะ ท้าวเธอเสด็จมาทุกยุค โอ อรชุนเอ๋ยเมื่อใดก็ตามความชอบธรรม (ธรรมะ) หย่อนยาน และความอยุติธรรม (อธรรมะ) บังเกิดขึ้นแล้ว เราจักส่งตัวเองมาเพื่อพิทักษ์คนดีและนำคนทำชั่วไปทำลายเสีย เพื่อสถาปนาธรรมะให้มั่นคง เราจุติลงมาเกิดยุคแล้วยุคเล่า เกิดมาเพื่อทำลายผู้ทำลายล้าง กฤษณะเปิดเผยธรรมชาติอันเป็นสากลเกี่ยวกับสวรรค์ของท้าวเธอให้อรชุนเห็นเป็น นิมิต ภาพอันงดงามแห่งทวยเทพมากมายมหาศาล แผ่ขยายออกไปเอนกอนันต์ บัดนี้เมื่อตัดสินใจกระทำหน้าที่ของตนได้แล้ว อรชุนจึงนำกองทหารเข้าสู่ยุทธนาการ บนเนินเขามองลงมายังสมรภูมิ ธฤษตราษฎร์สดับคำรัสแห่งกฤษณะ ผ่านการช่วยเหลือของสัญชัยซึ่งได้รับพรประทานความสามารถในการเห็นทุกสรรพ สิ่ง และได้ยินทุกสรรพสำเนียงที่บังเกิดขึ้นในสมรภูมิ ถ่ายทอดต่อให้กษัตริย์บอดได้รับทราบ ธฤษตราษฎร์ วรกายสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น เมื่อได้สดับถึงการปรากฏองค์ในร่างมนุษย์ของกฤษณะตื่นตระหนกว่า คงไม่มีอะไรหยุดยั้งฝ่ายปาณฑพได้ ด้วยมีบุคคลผู้มีฤทธิ์เยี่ยงกฤษณะร่วมอยู่ด้วย แต่ธฤษตราษฎร์ยังค่อยคลายใจลงอยู่เมื่อทราบว่า กฤษณะเองก็ไม่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างให้สำเร็จได้ดังมโนรถปราถนา เช่น ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้ด้วยสันติวิธี ก่อนยุทธนาการยุธิษฐิระเสด็จเยี่ยมครูทั้งสองของพระองค์ ภีษมะ และ โทรณะ โอ บุรุษผู้ไม่มีใครพิชิตได้หม่อมฉันขอคารวะ เราจักสู้รบกัน กรุณาประทานราชานุญาตและอวยชัยให้พวกหม่อมฉันด้วยเถิดพระเจ้าข้า จากอาการแห่งความเคารพเยี่ยงนี้บุรุษทั้งสองอธิษฐานให้ฝ่ายปาณฑพได้ชัยชำนะ ถึงแม้ว่าต้องสู้รบอยู่ในฝ่ายเการพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต กฤษณะ...อรชุน...กลางสนามรบ ยุทธนาการเริ่มขึ้น ภีษมะเปรียบเทียบอรชุนผู้ไม่มีใครเอาชนะได้กับ ผู้ทำลายตัวเอง ณ จุดสิ้นยุค ในการเผชิญหน้ากันครั้งหนึ่ง อรชุนผ่าคันศรของภีษมะออกด้วยศรสี่ดอก ภีษมะสรรเสริญอรชุนว่า โอ โอรสแห่งปาณฑุ ประเสริฐยิ่งนัก! หม่อมฉันยินดีกับพระองค์ในความสำเร็จที่น่าจดจำเยี่ยงนี้ จงรบกับหม่อมฉันให้สุดความสามารถของพระองค์เถิด อย่างไรก็ตาม อรชุนไม่อาจเอาชัยภีษมะได้ หลังการสู้รบเก้าวันเหล่าปาณฑุเสด็จเยี่ยมภีษมะกลางราตรี และตรัสแก่ภีษมะว่า นอกจากภีษมะถึงมรณกรรมในสนามรบ การเข่นฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณจักดำเนินต่อไปจนกว่าจะสิ้นโลก เมื่อเหล่าปาณฑพตรัสถามว่าจะเอาชัยต่อภีษมะได้อย่างไร ภีษมะแนะนำให้จัดสิขันติไว้ในแนวหน้า ตรงจุดที่สิขันติจะสามารถยิงภีษมะได้โดยไม่มีอะไรขวางกั้น สิขันตินี้ที่จริงเป็นสตรี คืออำภาผู้ซึ่งภีษมะปฏิเสธการแต่งงานด้วยและสาบานว่าจะฆ่าภีษมะ อำภาบำเพ็ญตบะอย่างเคร่งครัดโดยยืนบนปลายหัวแม่เท้าข้างเดียวในหิมะเป็นเวลา สิบสองปี เพื่อเรียนรู้ความลับแห่งมรณกรรมของภีษมะ อำภากระโดดตายในกองไฟแล้วเกิดใหม่จากเปลวไฟเป็นราชบุตรีองค์ที่สองของทรุปา ทะ ต่อมาแลกเปลี่ยนเพศกับปิศาจอสูรตนหนึ่งจึงกลายเพศเป็นบุรุษ วันต่อมาเมื่อเผชิญหน้ากับสิขันติ ภีษมะปฏิเสธการสู้รบกับสตรีจึงทิ้งอาวุธเสีย คลื่นห่าลูกศรเป็นพันๆ ดอกโจมตีภีษมะเป็นระรอก ปักเข้าไปในร่างของภีษมะ จนไม่มีที่ว่างตรงไหนหนาเกินกว่านิ้วมือสองนิ้วให้แทรกผ่านไปได้ ภีษมะหล่นลงจากรถม้าศึก และนอนอยุ่บนลูกศรที่เสียบตรึงร่างไว้นั้นโดยไม่มีร่างกายส่วนใดสัมผัสพื้น ดินเลย ภีษมะยังไม่ถึงแก่กรรมทันทียังมีชีวิตต่อไปอีกตามความประสงค์ของตน และยังนอนอยู่บนเตียงลูกศรอย่างนั้นจนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง... ภีษมะ โทรณะรับบัญชาการ โทรณะจัดกองทัพในรูป กลจักรพยุหะ ซึ่งเป็นความลับเฉพาะตนเท่านั้น กลพยุหะนี้ไม่มีใครรู้วิธีตีให้แตกหรือทำลายได้นอกจากอรชุน ถ้าเพียงแต่ขับอรชุนออกไปจากใจกลางสนามรบได้ โทรณะให้คำมั่นว่าจะได้ชัยชนะเป็นแน่แท้ อรชุนมีโอรสอายุสิบห้าพรรษาองค์หนึ่งนามอภิมันยุ ผู้ซึ่งได้ยินเสียงของบิดาตั้งแต่อยู่ในคัพภะของมารดา จึงได้เรียนรู้วิธีโจมตีทะลวงกลพยุหะของโทรณะ ในขณะที่อรชุนรบห่างออกไปจากการประจัญบานเพราะต้องกลยุทธวิธีของฝ่ายเการพ ยุธิษฐิระจึงมอบภารกิจความรับผิดชอบให้แก่อภิมันยุตีกลพยุหะจานเหล็กของโทร ณะให้แตกจงได้ อภิมันยุทำได้สำเร็จแต่เมื่อภีมะและยุธิษฐิระตามเข้าไปในช่องกลพยุหะที่แตก นั้น ชยทรัถ น้องเขยของเหล่าเการพ เข้ามาขวางไว้ช่องกลพยุหะที่แตกนั้นจึงปิดตามหลังอภิมันยุผู้เยาว์วัยประสาน กันเข้าเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่กล้าหาญอภิมันยุก็ถึงแก่มรณกรรมในสนามรบ ก่อนหน้านั้นระหว่างการเนรเทศ ชยทรัถพยายามลักพาเทราปทีไป นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ภราดาปาณฑพเกลียดชังชยทรัถ เมื่ออรชุนกลับมาถึงค่ายท้าวเธอเดือดดาลคลั่งแค้นด้วยความเสียใจ ยิ่งเมื่อเห็นร่างของอภิมันยุโอรสน้อยจึงสาบานว่าต้องสังหารชยทรัถให้ได้ ก่อนตะวันตกดินในวันรุ่งขึ้น ท้าวเธอสาบานอย่างเคร่งเครียดว่าจะกระโดดสังเวยกองไฟตายเสียหากทำไม่สำเร็จ แม้แต่กฤษณะก็ยังตื่นตระหนกต่อคำสาบานที่น่ากลัวของอรชุนนี้ วันต่อมาชยทรัถออกรบพร้อมทหารแวดล้อมอารักขาอย่างหนาแน่น อรชุนจึงไม่อาจเข้าถึงองค์ชยทรัถได้ จนเกือบสิ้นแสงตะวันรอมร่อ กฤษณะจึงเนรมิตสุริยคราสชั่วขณะขึ้น ฝ่ายข้าศึกนั้นเข้าใจว่าสิ้นทิวาแล้วจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าอรชุนต้องประกอบ อัตวินิบาตกรรมอย่างแน่นอนตามคำสาบานของตนต่างก็วางอาวุธเสียสิ้น ปล่อยให้ชยทรัถตกเป็นเป้าลูกธนูของอรชุนพร้อมกับลำแสงสุดท้ายแห่งตะวันที่ สาดมาหลังสุริยคราสชั่วขณะจากการเนรมิตของกฤษณะ บิดาของชยทรัถสาปแช่งบุคคลที่สังหารบุตรของตนว่าใครก็ตามที่เป็นเหตุให้ ศีรษะบุตรชายของตนหล่นลงพื้นดินแล้วจะต้องตายด้วยอำนาจมนตรา อรชุนเนรมิตให้ลูกธนูที่แผลงไปนั้นตัดศีรษะของชยทรัถและลอยเลยไปไกล พาศีรษะของชยทรัถไปตกลงบนตักของบิดาขณะสวดมนต์อยู่ บิดาของชยทรัถไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นจึงลุกโผงผางขึ้นมา ทำให้ศีรษะของชยทรัถหล่นลงพื้น ดังนั้นจึงตายตามคำสาปของตน อรชุนยิงศรตัดหัวท้าวชยัทรถจนขาดกระเด็น... ตามสัตย์ปฏิญาณหลังชยัทรถ เป็นตัวการสำคัญขวางไม่ให้พวกปาณฑพ ฝ่าเข้าไปช่วย อภิมัณยุ ในกระบวนจักรพยุหะได้...จนเป็นเหตุให้อภิมัณยุถูกรุมสังหารอย่างทารุณ...โดย พระกฤษณะใช้จักรสุทัศน์บังดวงตะวันไว้ชั่วขณะ จนชยัทรถคิดว่าตะวันตกดินไปแล้ว...จึงลำพองเผยตัวออกมา จากมวลทหารที่รายล้อมอยู่.... วันต่อมากรรณะพุ่งเข้าสู่สนามรบ กุณตีพยายามชักจูงกรรณะให้มาอยู่กับฝ่ายปาณฑพแต่กรรณะก็ไม่ยอมผ่อนปรนเอา เสียเลย อย่างไรก็ตามกรรณะสัญญากับกุณตีว่าจะสังหารอรชุนองค์เดียวเท่านั้น เพราะว่าปาณฑพองค์ใดองค์หนึ่งต้องตายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นหลังสงครามกุณตีจะยังมีโอรสอยู่ห้าองค์เหมือนเดิม กรรณะมีหลาวอาคมเป็นของขวัญจากอินทราใช้สังหารได้ทุกชีวิตแต่ใช้ได้เพียง ครั้งเดียวเท่านั้น และกรรณะเก็บหลาวเล่มนั้นไว้ใช้กับอรชุนเป็นการเฉพาะแต่เพื่อจัดการสยบฤทธิ์ หลาวเล่มนั้น กฤษณะจึงเรียก ฆโตคัตฉะ บุตรภีมะและนางรากษสเข้าสู่สนามรบแห่งมหากาพย์ท่ามกลางราตรี ฆโตคัตฉะสู้รบกับกรรณะผู้ซึ่งสามารถสังหารปิศาจอสูรได้โดยอาศัยหลาวอาคมเท่า นั้น ฆโตคัตฉะตายในสนามรบแต่กฤษณะกระโดดโลดเต้นดีใจ เพราะหลาวอาคมได้ใช้ไปแล้ว กรรณะสิ้นฤทธิ์ อรชุนจึงสังหารกรรณะได้ มหายุทธเช้าวันที่ 12 โทรณะท้าทายกองทัพปาณฑพต่อไปโดยการสังหารโหดทหารฝ่ายปาณฑพเป็นพันๆ แต่ปาณฑพทราบจุดอ่อนของโทรณะดี นั่นคือโทรณะรักอัศวัตฐามะบุตรชายคนเดียวสุดสวาทขาดใจ ภีมะสังหารช้างเชือกหนึ่งชื่อว่าอัศวัตฐามะเช่นกัน แล้วหลอกโทรณะให้เข้าใจว่าเป็นมรณะกรรมแห่งบุตรชายของโทรณะ โทรณะสงสัยว่าเป็นการโกหกจึงถามเอาความจริงกับยุธิษฐิระว่า บุตรของตนถึงแก่มรณกรรมแล้วจริงหรือไม่ โทรณะจักวางอาวุธเสียในวันที่บุรุษผู้ซื่อสัตย์กล่าวคำโกหก กฤษณะบอกยุธิษฐิระว่า ในเหตุการณ์แวดล้อมเยี่ยงนี้ ความเท็จเป็นที่น่าปรารถนากว่าความจริง การโกหกเพื่อเอาชีวิตรอด ไม่ผิดบาปแต่อย่างใด ยุธิษฐิระจึงอ้อมแอ้มบอกกึ่งโกหกว่า อัศวัตฐามะ-(แล้วทำเสียงอู้อี้งึมงำอยู่ในลำคอ)ช้าง-ตายแล้ว ก่อนโกหกรถม้าศึกของยุธิษฐิระกระดอนขึ้นจากพื้นสี่นิ้ว แต่พอตรัสเสร็จจมกลับลงไปในดิน โทรณะจึงวางอาวุธของตน ธฤษตทยุมนะ โอรสแห่งทรุปาทะจึงตัดศีรษะของโทรณะได้ ตามคำสาบานแก้แค้นที่ทำให้บิดาของตนอับอายขายหน้า ขณะนั้นภีมะเห็นทูศาสนะใกล้เข้ามาเกือบถึงตน ภีมะเคยสาบานดื่มเลือดของอริองค์นี้เพื่อแก้แค้นสิ่งที่ทำไว้กับเทราปที ภีมะฟาดทูศาสนะลงบนพื้นด้วยคทา แหวะอกทูศาสนะออกมาแล้วดื่มเลือดของทูศาสนะพร้อมกับบอกว่ารสชาติดีกว่าน้ำนม มารดา ภีมะผู้ซึ่งสังหารรากษสเสียหลายตน (แถมมีบุตรชายตนหนึ่งกับนางรากษสด้วย) มักสำแดงพฤฒิกรรมเหมือนยักษ์กินคนเสียเอง ดูจากมรณกรรมเลือดของกิจาคะและทูศาสนะซึ่งภีมะแก้แค้นให้เทราปทีทั้งสองกรณี ภีมะคือผู้อารักขาที่ใช้ความรุนแรงที่สุดของเทราปที ภีมะสังหารเจ้าชายฝ่ายเการพเกือบหนึ่งร้อยองค์ ซึ่งที่จริงคือปิศาจอสูรในร่างมนุษย์ กรรณะลงไปเข็นล้อรถศึกที่ติดหล่มโคลน..พร้อมกับขอพักการรบชั่วคราวโดยอ้างถึงคุณธรรมนักรบ... มรณกรรมแห่งกรรณะ ทุรโยธน์ขอร้องให้กรรณะแก้แค้นแทนทูศาสนะน้องชายในที่สุดกรรณะพบกับอรชุนในการเผชิญหน้ากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อรชุนและกรรณะทั้งคู่ต่างก็มีอาวุธสวรรค์ (เช่น คนหนึ่งแผลงศรเป็นไฟ อีกคนแผลงศรเป็นน้ำไปดับไฟ) กรรณะมีศรดอกหนึ่งที่มีวิญญาณของนาคา(นาค)ซึ่งไม่พอใจอรชุนสิงอยู่ (ครอบครัวของนาคาตายสิ้นในป่าซึ่งอัคนีเผาผลาญทำลาย) เมื่อกรรณะยิงศรไปยังอรชุนสารถีรถม้าศึกของกรรณะเตือนว่ากรรณะเล็งเป้าสูง เกินไป แต่กรรณะไม่ฟังเสียงศรดอกนั้นจึงยิงไปถูกมงกุฏเล็กๆ ที่อรชุนสรวมอยู่เท่านั้น เมื่อศรวิญญาณสิงย้อนกลับมาหากรรณะและบอกกรรณะให้พยายามใหม่ครั้งนี้จะไม่ ผิดเป้าหมาย กรรณะไม่ยอมรับความล้มเหลวจึงยิงศรดอกเดิมซ้ำสองครั้ง ถ้าแม้นว่ามีอรชุนถึงหนึ่งร้อยองค์ก็สังหารได้สิ้น ในขณะที่การสู้รบดำเนินอยู่นั้นเกิดแผ่นดินแยก และรถม้าศึกของกรรณะหล่นลงไปในรอยแยกและติดอยู่ในหล่มนั้น เพื่อให้เป็นไปตามคำสาบแช่ง ด้วยความท้อแท้สิ้นหวังกรรณะพยายามวิงวอนให้สุดยอดอาวุธของตนให้มีฤทธิ์ขึ้น มาอีก แต่มนตราที่มีอยู่นั้นเสื่อมเสียแล้ว กรรณะจำคำของปรศุรามได้ดีว่า เมื่อชีวิตท่านขึ้นอยู่กับอาวุธที่ทรงพลานุภาพที่สุดของท่านแล้วท่านไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้อีก ในวาระสุดท้ายของชีวิตกรรณะสงสัยความเชื่อของตนว่า ผู้ รู้ธรรมะมักกล่าวกันเสมอว่าธรรมะย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม แต่เนื่องจากล้อรถของเราติดหล่มวันนี้เราคิดว่าธรรมะไม่ช่วยคุ้มครองเสมอไป ดอก ขณะดิ้นรนพยายามเข็นรถม้าศึกขึ้นจากหล่ม กรรณะร้องเสียงดังแก่อรชุนว่า อย่าโจมตีผู้ไร้อาวุธ ขอให้รอจนกระทั่งข้าฯ เข็นรถม้าศึกขึ้นจากหล่มได้เธอเป็นนักรบที่ไร้ผู้ต่อกร อย่าลืมจรรยาบรรณสงครามเสีย แต่กฤษณะตรัสเสียดสีกรรณะว่า มนุษย์ ที่มีปัญหาเศร้าโศกกังวลใจมักเรียกหาความมีศีลธรรม โดยลืมการกระทำชั่วร้ายของตนเองเสียสิ้น โอ กรรณะเอ๋ย ความมีศีลธรรมของท่านอยู่ที่ใดเมื่อพวกเขาจิกหัวเทราปทีลากดึงร้องไห้อยู่ใน ที่ประชุมมุขมนตรี ศีลของท่านอยู่ไหนเล่าเมื่อพวกเขาปล้นราชอาณาจักรของยุธิษฐิระไป กรรณะคอตกพูดอะไรไม่ออกพร้อมกับพยายามเข็นรถม้าศึกขึ้นจากหล่มอยู่ กฤษณะบัญชาให้อรชุนยิงและกรรณะก็ถึงแก่มรณกรรม รัศมีแสงสดใสวาวโรจน์พุ่งวาบออกจากกายของกรรณะเข้าสู่ตะวัน ดื้อดึงแต่ซื่อสัตย์และในฐานะเชษฐาองค์ใหญ่ของปาณฑพ กรรณะมีสิทธิ์ขึ้นเป็นกษัตริย์ได้แต่ก็ยังคงอยู่กับฝ่ายเการพ กรรณะสู้รบอย่างยุติธรรมและรักษาสัจจะสัญญาที่ให้ไว้กับกุณตีว่าจะไม่สังหาร อนุชาองค์อื่นใดเลยนอกจากอรชุน การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นของทั้งคู่สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งในเทพนิยาย โบราณนี้ ระหว่างอินทราและสูรยาเทพบิดร ทุรโยธน์ และ โทรณาจารย์ มรณกรรมแห่งทุรโยธน์ ตลอดสงครามสิบแปดวัน ทุรโยธน์เห็นนายพลและกองทัพฝ่ายเการพล้มลงต่อฝ่ายปาณฑพ แต่ถึงที่สุดแล้วทุรโยธน์ปฏิเสธการยอมจำนน หลบซ่อนตัวอยู่ในน่านน้ำของทะเลสาบแห่งหนึ่ง ซึ่งผนึกแข็งตัวจากอำนาจมนตราของทุรโยธน์ ยุธิษฐิระ นักการพนันตลอดกาลตรัสแก่ทุรโยธน์ว่า ให้เลือกต่อสู้กับปาณฑพองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้และหากชนะ ทุรโยธน์จะได้ราชอาณาจักรกลับไปครองอีกครั้ง ในเรื่องบอกเป็นนัยแก่ทุรโยธน์ให้ต่อสู้กับภีมะแทนต่อสู้กับปาณฑพองค์ใดองค์ หนึ่งซึ่งอ่อนแอกว่าภีมะ ในการต่อสู้กันครั้งสุดท้ายตัวต่อตัวเสมอภาคกัน ภีมะชนะอย่างน่าเคลือบแคลงเพียงเพราะตีที่ขาของทุรโยธน์ ซึ่งเป็นกฎต้องห้ามในสงคราม กัณธารีร่ายมนตร์คุ้มครองทุรโยธน์ทั่วร่างกายแต่เนื่องจากทุรโยธน์มีผ้าพัน เนื้อตะโพกแต่น้อยอยู่ก่อนโคนขาทั้งสองข้างของทุรโยธน์จึงไม่ได้รับการคุ้ม ครองจากอำนาจมนตรา ทุรโยธน์กล่าวหากฤษณะที่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างไม่ยุติธรรมและยุให้ภีมะทรยศ (ไม่เคารพกฎสงคราม)กฤษณะตอบโต้ว่า การใช้กลลวงในสงครามเพื่อต่อสู้กับอริที่มีกลลวงนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แม้กระทั่งอินทราก็ยังใช้กลลวงเพื่อพิชิตวิโรจน์และวริตราอสูรที่ทรงฤทธิ์ ผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า ภีมะได้สังเวยอธรรมะเพื่อจุดมุ่งหมายให้ได้มาซึ่งวัตถุ นี่ไม่สามารถนำไปสู่ความสำเร็จและความสุขได้เลย กฤษณะตอบว่า "ภี มะเพียงแต่รักษาคำที่สาบานไว้เท่านั้นเอง เพราะนั่นเป็นหน้าที่ซึ่งอุทิศให้แก่พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีความไม่ยุติธรรมใดเลยในองค์ภีมะ ภีมะทำตามสัญญาของเขาให้ลุล่วง และทดแทนหนี้แค้นศัตรูของเขา ขอให้ทราบไว้ด้วยว่ายุคกาลีที่น่าสะพรึงกลัวใกล้เข้าถึงมาแล้ว สัญญาณการกระทำที่อำมหิตและการสูญเสียแห่งธรรมะ ทุรโยธน์โต้ตอบอย่างกล้าหาญว่า บัด นี้ ข้าฯ กำลังตายด้วยความตายที่รุ่งโรจน์ จุดจบซึ่งนักรบที่เที่ยงธรรมแสวงหาอยู่เสมอเป็นของข้าฯ ใครจักโชคดีเยี่ยงข้าฯ ข้าฯจักขึ้นสู่สรวงสวรรค์พร้อมน้องของข้าทั้งหมด ในขณะที่พวกเจ้า ปาณฑพจักดำรงอยู่ที่นี่ จมอยู่ในความโศกเศร้าเสียใจและทนทุกข์ทรมานต่อไป ในขณะที่ทุรโยธน์กำลังถึงแก่มรณกรรมอยู่นั้น อัศวัตฐามะ บุตรโทรณะบอกทุรโยธน์ว่าในตอนกลางคืนได้ลอบเข้าไปในค่ายของปาณฑพซึ่งได้ชัย ชนะเพื่อก่อบาปฆาตกรรมหมู่อย่างน่าขยะแขยง โดยสังหารนักรบที่รอดชีวิตอยู่และเด็กทั้งหมดขณะหลับ เหลือไว้แต่ภราดาปาณฑพที่ไร้ผู้สืบสกุล ในทางตรงข้ามกับความยินดีที่ได้ยินข่าวนั้นทุรโยธน์ถึงแก่มรณกรรมด้วยหัวใจ ร้าวรานแหลกสลาย เพราะเหตุว่าเผ่าพันธุ์แห่งกุรุไม่มีอนาคตต่อไปอีกแล้ว ดังนั้นทั้งสองฝ่ายตายทั้งหมดในสงคราม ยกเว้นภราดาปาณฑพทั้งห้า เมื่อยุธิษฐิระทราบถึงการฆาตกรรมหมู่ก็ทรงโศกเศร้าเสียใจว่า เราผู้พิชิต กลับถูกพิชิตเสียแล้ว เมื่อฝ่ายปาณฑพหาทางแก้แค้น อัศวัตฐามะปล่อยอาวุธสวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในคลังแสงสรรพวุธของตน อรชุนตอบโต้ด้วยอาวุธของตนซึ่งโทรณะได้ฝึกอบรมสั่งสอนทั้งคู่ไว้ อาวุธนี้ของอรชุนมีไว้เพื่อใช้ต่อต้านบุคคลที่มาจากสวรรค์เท่านั้น หรือมิฉะนั้นมันจะทำลายล้างโลกให้สิ้นสลายไป อัศวัตฐามะหันอาวุธของตนเข้าใส่ครรภ์ของเหล่าสตรีปาณฑพที่รอดชีวิตมาจาก สงคราม ทำให้ตั้งครรภ์โดยไม่ต้องอาศัยเชื้อ แต่กฤษณะสัญญาว่าไม่ว่าอย่างไรอรชุนจะมีผู้สืบสกุล เพื่อเป็นการลงโทษอัศวัตฐามะถูกสาปให้เนรเทศ โดยเร่ร่อนไปทั่วโลกเป็นเวลาสามพันปีตัวอย่างลายสกรีน ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |